วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประวัติขนมไทย ขนมไทยมงคล

ประวัติขนมไทย ขนมไทยมงคล

หากคุณคิดที่จะแต่งานแบบไทย ๆ สิ่งที่จะขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งเห็นทีก็คือ ขนมไทยมงคลเนี่ยแหละค่ะ ที่อยู่คู่กับคนไทยทุกคู่มาทุกยุคทุกสมัย นอกจาก ขนมไทยมงคล จะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตคู่ยังมีรสชาติอร่อยอีกต่างหาก และวันนี้เราก็มีประวัติขนมไทยน่ารู้มาฝากกันอีกด้วยได้รับความรู้เกี่ยวกับ ประวัติขนมไทย แล้วยังได้อร่อยกับ ขนมไทยมงคล อีกต่างหาก ว่าแล้วคุณคงจะอยากรู้ประวัติขนมไทยและขนมไทยมงคลที่จะต้องใช้ในพิธีแต่งงานแบบไทยกันแล้วใช่ไหมค่ะ เอาล่ะค่ะไม่พูดพร่ำทำเพลงก็มาดูกันเลยค่ะ แล้วจะจัดงานพิธีแต่งงานก็อย่าลืมขนมไทยมงคลที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยด้วยนะค่ะ


ประวัติขนมไทย


ในสมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญเท่านั้น เป็นต้นว่า งานทำบุญ เทศกาลสำคัญ หรือ ต้อนรับแขกสำคัญ เพราะขนมบางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำพอสมควร ส่วนใหญ่เป็น ขนมประเพณี เป็นต้นว่า ขนมงาน เนื่องในงานแต่งงาน ขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมครก ขนมถ้วย ฯลฯ ส่วนขนมในรั้วในวังจะมีหน้าตาจุ๋มจิ๋มประณีตวิจิตรบรรจงในการจัดวางรูปทรงขนมสวยงาม

ขนมไทยที่นิยมทำกันทุก ๆ ภาคของประเทศไทยในพิธีการต่าง ๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระก็คือ ขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้น ๆ งานศิริมงคลต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงานเพื่อเป็นศิริมงคลของงาน ขนมก็จะมี ฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาวมีอายุยืน ขนมชั้น ก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟู ก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอก ก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น

สมัยรัตนโกสินทร์ จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีกล่าวไว้ว่า ในงานสมโภชพระแก้วมรกตและฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดารามได้มีเครื่องตั้งสำรับหวานสำหรับพระสงฆ์ 2,000 รูป ประกอบด้วย ขนมไส้ไก่ ขนมฝอย ข้าวเหนียวแก้ว ขนมผิง กล้วยฉาบ ล่าเตียง หรุ่ม สังขยา ฝอยทอง และขนมตะไล

ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการพิมพ์ตำราอาหารออกเผยแพร่รวมถึงตำราขนมไทยด้วยจึงนับได้ว่า วัฒนธรรมขนมไทยมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก ตำราอาหารไทยเล่มแรกคือ แม่ครัวหัวป่าก์ เขียนโดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ในหนังสือเล่มนี้มีรายการสำรับของหวานเลี้ยงพระได้แก่ ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ขนมหันตรา ขนมถ้วยฟู ขนมลืมกลืน ข้วเหนียวแก้ว วุ้นผลมะปราง

ในสมัยต่อมาเมื่อการค้าเจริญขึ้นในตลาดมีขนมนานาชนิดมาขายทั้งขายอยู่กับที่ แบกกระบุง หาบเร่ และมีการปรับปรุงการบรรจุหีบห่อไปตามยุคสมัย เช่นในปัจจุบันมีการบรรจุในกล่องโฟมแทนการห่อด้วยใบตองในอดีต



ประวัติขนมไทย ขนมไทยมงคล


ขนมไทยมงคล


- ขนมกงหรือขนมกงเกวียน ซึ่งหมายถึงกงเกวียนที่หมุนไปข้างหน้าเช่นเดียวกับพระธรรมจักร ความหมายที่ต้องการสื่อถึงงานแต่งงานก็คือ ต้องการให้คู่บ่าวสาวรักและครองคู่อยู่ด้วยกันชั่วนิจนิรันดร์ 

- ขนมสามเกลอ 
ซึ่งเป็นขนมที่แสดงถึงความสามัคคีและไม่มีวันพรากจากกันโดยใช้เป็นขนมเสี่ยงทายในงานแต่งงาน ลักษณะของขนมสามเกลอเป็นลูกกลม ๆ เรียงกัน 3 ลูกแบบก้อนเส้า การเสี่ยงทายจะดูกันตอนทอด กล่าวคือ ถ้าทอดแล้วยังอยู่ติดกัน 3 ลูก ถือว่าบ่าวสาวจะรักใคร่กลมเกลียวกัน ถ้าทอดแล้วติดกัน 2 ลูกแสดงว่า จะมีลูกยากหรือไม่มีเลย และถ้าหลุดจากกันหมดไม่ติดกันเลย แสดงว่า ชีวิตคู่จะไม่ยั่งยืนหรือชีวิตสมรสจะไม่มีความสุข อีกนัยหนึ่งถ้าทอดขนมสามเกลอแล้วพองฟูขึ้นจะถือว่า เป็นคู่ที่เหมาะสมกับราวกิ่งทองกับใบหยก แต่ถ้าทอดแล้วด้านไม่พองฟูก็ถือว่า ใช้ไม่ได้ 

- ขนมทองหยิบ ทองหยอด ทองพลู ทองโปร่ง ทองม้วน ทองเอก เป็นขนมมงคล เชื่อกันว่าจะมีเงินทองใช้อย่างล้นเหลือไม่รู้จักหมดสิ้นและทำให้นึกถึงความร่ำรวย เพราะไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด แถมยังมีเงินมีทองใช้ไม่รู้จักหมดสิ้น โดยเฉพาะขนมทองเอกจะแสดงถึงความเป็นหนึ่งและเป็นที่สุด

- ขนมเม็ดขนุน ในงานมงคลต่าง ๆ ให้ความหมายว่า ทำกิจการใดก็จะมีคนคอยสนับสนุนค้ำจุนช่วยเหลือไม่มีวันตกต่ำ และในงานแต่งงานจะแทนคำอวยพรว่าจะทำอะไรก็มีแต่คนคอยสนับสนุนค้ำจุนให้เจริญก้าวหน้า

- ขนมข้าวเหนียวแก้ว หากมีขนมนี้ใช้ในงานมงคลใด ๆ ชีวิตก็จะมีความเหนียวแน่นเป็นปึกแผ่นมั่นคง

- ขนมฝอยทอง หากใช้ในงานแต่งงานถือเคล็ดกันว่า ห้ามตัดให้สั้นต้องปล่อยให้ยืดยาวอย่างนั้น เพราะคู่บ่าวสาวจะได้รักกันยืนยาวและครองคู่อยู่ด้วยกันตลอดไป

- ขนมจ่ามงกุฎ
 นิยมทำกันในงานฉลองยศ ฉลองตำแหน่ง เพราะมีความหมายว่าจะมีลาภยศอันสูงส่งเป็นนิมิตหมายอันดีในหน้าที่การงานสืบไป ส่วนในงานแต่งงานจะแทนคำอวยพรให้เจริญก้าวหน้าเพียบพร้อมด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์

- ขนมเทียนหรือขนมนมสาว ให้ความหมายถึงความสว่างไสวความรุ่งโรจน์ของชีวิต

- ขนมถ้วยฟู ขนมปุยฝ้าย มีความหมายว่าความรุ่งเรืองความเฟื่องฟูของชีวิต

- ขนมโพรงแสม เป็นขนมแต่งงานที่เก่าแก่และมีมานานชนิดหนึ่งโบราณท่านเปรียบขนมนี้ว่า เสมือนเสาบ้านที่คูบ่าวสาวจะอยู่กันได้ยั่งยืนตลอดไป

- ขนมเสน่ห์จันทร์ มีความหมายว่าจะทำให้เป็นคนมีเสน่ห์ มีแต่คนรักใคร่
ขอขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

นิยามรัก

นิยามรัก

วันนี้ทีมงานเว็บไซน์เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) โดยผู้แต่ง ลูกกวาด ขอรังสรรค์บทความที่มีชื่อว่า นิยามรัก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมุมมองของโลกแห่งความรัก แม้ว่า นิยามรัก ในทุกๆ มุมมองของแต่ละบุคคลอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนสุข บางคนทนทุกข์ บางคนโกรธ บางคนชัง บางคนเกียจ บางคนแค้น แต่ในโลกแห่งความรักมักมีหลากอารมณ์หลากสีสันขึ้นอยู่ที่คนเรานั้นจะเลือกกำหนดและเดินไปในแนวทางไหน อารมณ์ ความรู้สึก คือสิ่งที่ต้องควบคุมเพื่อประคับประคองความรักไปได้อย่างมีความสุข 

ความเชื่อใจ ไว้ใจ ในโลกแห่งความรักถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องจดจำ หากคนเราปราศจากซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจโลกแห่งความรักที่สวยงามก็อาจต้องมลายจบลงในที่สุด แล้วคุณล่ะอยากมี นิยามรัก ของตัวคุณเองในรูปแบบไหนกัน อยากจับสีสันของอะไรในโลกแห่งความรัก

ไม่ว่าโลกแห่งความรักจะมีความสุขหรือความทุกข์สิ่งเดียวที่ทุกๆ คนเป็นเหมือนกันนั่นก็คือ มักวิ่งเข้าหาความรัก ไขว่ขว้ามาให้ได้ซึ่งความรัก แม้ไม่รู้ว่า ความรักนั้นจะได้มาซึ่งความสุขเพียงใด หรือ ความรักนั้นจะได้มาซึ่งความเจ็บปวดเพียงใด การให้นิยามรักก็เช่นเดียวกันมักจะมีหลากหลายอารมณ์ หลากหลายเหตุผล และหลากหลายสีสันซึ่งก็ล้วนแต่จะตีความหมายกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งในโลกแห่งความรักมักจะติดตัวเราอยู่เสมอนั่นคือ นิยามรัก ในแบบของฉัน (นั่นคือตัวเราเอง)


นิยามรักแท้


นิยามรัก

ความรักอาจจะเป็นสิ่งที่สวยงามสำหรับบางคน

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกดีไปกับความรัก

ความรักสามารถเปลี่ยนโลกและมุมมองใหม่ๆ ได้เสมอ

แต่ไม่เสมอไปที่ใครจะเปลี่ยนมุมมองความรักของใครอีกคน

ในโลกแห่งความรักมักมีความทุกข์ที่ซ่อนอยู่

ในโลกแห่งการเรียนรู้มักมีอะไรที่แอบแฝง

แต่ใครก็รู้ว่าในโลกแห่งความรักนั้นมันมีความสุขมากแค่ไหน

ความรู้สึก โกรธ เกียจ ในความรักอาจทำให้เป็นทุกข์

แต่ถ้ารู้จักหยุดความรักอาจจะทำให้อะไรนั้นดีขึ้น

ความรักคือ บทเรียนราคาแพง และ ความรักก็คือ สิ่งที่ล้ำค่าเช่นเดียวกัน

หากแต่ใครเหล่าจะเข้าใจในหัวใจหลักของความรัก

จงเลือกรักให้เป็นแล้วมีความสุข

ดีกว่าเลือกความรักแบบทุกข์ๆ จนต้องทนเจ็บปวดอยู่กับความชัง

ทีมงานเว็บไซต์ N3K.IN.TH งานเขียนชุด นิยามรัก โดย ลูกกวาด : ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน "ตัวช่วยให้หายปวดท้อง"

สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน "ตัวช่วยให้หายปวดท้อง"

วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มีสมุนไพรแก้ปวดประจำเดือนมาฝากกันค่ะ ซึ่ง สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน นี้เป็นสมุนไพรใกล้ตัวสาวๆ อย่างที่เราไม่ควรพลาดเลยนะค่ะ อาการปวดท้องประจำเดือนคืออีกหนึ่งปัญหาที่สุดแสนจะทรมานสำหรับสาวๆ จำนวนมากเลยทีเดียวนะค่ะ ถ้าใครที่เคยมีอาการปวดท้องประจำเดือนจะรู้ทันทีเลยว่าอาการเหล่านี้มันทรมานขนาดไหน แล้วทุกๆ เดือนของสาวๆ อย่างเราๆ จะต้องมาทนทรมานกับการปวดท้องคงจะไม่ไหวแน่ๆ วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็เลยนำเอา สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน มาแนะนำให้คุณสาวๆ ได้รู้กันค่ะ สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน เป็นสมุนไพรที่ไม่เป็นอันตรายและแถมยังไม่แพงมากมายและหาซึ่งได้ง่ายๆ เพราะ สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน นั้นมีใกล้ตัวเราอีกด้วยนะค่ะ รับรองว่า สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน นี้จะช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนของคุณสาวๆ ได้เป็นอย่างดีแน่นอนค่ะ ถ้าอย่างนั้นอย่าร้อช้ารีบๆ ไปรู้จัก สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน ไปพร้อมๆ กับเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) กันเลยดีกว่านะค่ะ


มุนไพรแก้ปวดประจำเดือน



3 สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน

1. ตังกุย

มีผลช่วยในการดูแลสุขภาพของมดลูกผู้หญิงเราโดยตรงทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 และมีกรดโฟลิกสูงซึ่งช่วยบำรุงเลือดได้อย่างดี ถ้าหากทานเป็นประจำจะช่วยลดอาการปวดท้อง ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนของผู้หญิงได้อีกด้วย

2. ใบตำลึง

มีแมกนีเซียมและธาตุเหล็กที่ช่วยไม่ปวดเกร็งกล้ามเนื้อหรือลดอาการตะคริว จึงมีส่วนช่วยในการลดอาการปวดเกร็งช่วงท้องได้ด้วย นอกจากนี้แมกนีเซียมยังพบได้อีกในเนื้อสัตว์ และตับหมู

3. น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส

ในน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจะมีกรดไขมันที่ชื่อว่า กรดแกมม่า ไลโนเลนิก ซึ่งมีคุณสมบัติลดหรือต้านการอักเสบ ช่วยรักษาระดับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิง แถมยังช่วยลดอาการปวดเกร็งท้อง ลดการปวดหน้าอก และอาการตัวบวมช่วงก่อนหรือช่วงมีประจำเดือนได้


ขอขอบคุณข้อมูลสมุนไพรไทยจาก womansstory ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต


http://www.n3k.in.th/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของเปลือกผลไม้ ผัก

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของเปลือกผลไม้ ผัก

วันนี้เรานำความรู้เรื่องสรรพคุณและประโยชน์ของเปลือกผลไม้ ผัก มาฝากกันอีกเช่นเคยค่ะ เอ๊ะ...ใครที่ชอบทานผลไม้หรือผักกันแบบปลอกเปลือกอยู่เสมออย่างเช่น แอปเปิ้ล มะนาว ฝรั่ง ฯลฯ คุณรู้ไหมว่าสิ่งเหล่านี้ที่คุณปลอกทิ้งไปอาจจะทำให้คุณสูญเสียสรรพคุณและ ประโยชน์ของเปลือกผลไม้ ผัก บ้างอย่างไปอย่างน่าเสียดาย ฉะนั้นแล้วเพื่อให้ได้สรรพคุณและ ประโยชน์ของเปลือกผลไม้ ผัก อย่างสุงสุดลองหันมารับประทานเปลือกผลไม้กันดูนะค่ะ (ต้องเป็นผลไม้และผักที่ทานได้นะค่ะ) อ้อ...แล้วหากใครลองหันมารับประทานเปลือกผลไม้และผักก็อย่างลืมใส่ใจในเรื่องความสะอาดในการล้างผักและผลไม้ด้วยนะค่ะ นั้นเรามาดูสรรพคุณและประโยชน์ของเปลือกผลไม้ ผัก กันเลยค่ะ


สรรพคุณ และ ประโยชน์ของเปลือกผลไม้ ผัก


สรรพคุณ / ประโยชน์ของเปลือกผลไม้ ผัก


นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์คลีย์ ทำวิจัยไว้ว่า

- เปลือกแอปเปิ้ล เชื่อว่ามีผลในการต่อต้านมะเร็ง ตามที่นักวิจัยพบว่าเปลือกของแอปเปิ้ลแดงผลหนึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่าวิตามินซี 820 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ได้จากน้ำส้มคั้นถึง 2 ควอตช์ เลยทีเดียว

- เปลือกมันฝรั่ง อุดมไปด้วยใยอาหาร (fiber) ธาตุเหล็ก โปแตสเซียม และวิตามินบี มากกว่าที่ได้จากเนื้อมันเสียอีกเมื่อเทียบปริมาณเท่าๆ กันแล้ว

- ผิวส้ม มะนาว หรือมะกรูด มี สารดี-ไลโมนีน (น้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่ง) เทอปีน เฮสเพอริดีน (ยาป้องกันการตกเลือดโดยลดความเปราะของเส้นเลือด) คูมาริน (สารต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย) และแคโรทีนอยด์ (สารสีเหลืองช่วยต้านอนุมูลอิสระ) ซึ่งดีต่อสุขภาพ

รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองหันมาทานผักผลไม้พร้อมทั้งเปลือกดู แต่ก่อนทานก็อย่าลืมล้างให้สะอาดก่อนแล้วกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์ ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

http://www.n3k.in.th/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89 

ผลไม้บำรุงเลือด "บำรุงสุขภาพ"

ผลไม้บำรุงเลือด "บำรุงสุขภาพ"

ช่วงนี้ใครรู้สึกว่าขาดเลือดอยู่ละก็วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มีผลไม้บำรุงเลือด บำรุงสุขภาพ มาฝากกันอีกด้วย ผลไม้นอกจากจะจัดเป็นสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคและมีคุณประโยชน์มากมายก่ายกองแล้ว ในผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตตามินอีกหลายชนิดที่เรายังไม่รู้ และวันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) จะพาคุณๆ มารู้จักกับ ผลไม้บำรุงเลือด ซึ่ง ผลไม้บำรุงเลือด เหล่านี้จะมีคุณประโยชน์อย่างไรกันและมีผลไม้ชนิดใดบ้างที่ช่วยบำรุงเลือดได้เป็นอย่างดี เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็ไม่พลาดที่จะนำ ผลไม้บำรุงเลือด เหล่านี้มาบอกให้คุณๆ ผู้รักสุขภาพและชอบทานผลไม้กันให้รู้อย่างแน่นอน ว่าแล้วเราก็มาเริ่มทำความรู้จักกับ ผลไม้บำรุงเลือด บำรุงสุขภาพ กันเลยดีกว่าค่ะ


ผลไม้บำรุงเลือด


5 ผลไม้บำรุงเลือด

1. ทับทิม

ผลไม้บำรุงเลือด

2. แก้วมังกร

ผลไม้บำรุงเลือด

3. สตรอว์เบอร์รี่

ผลไม้บำรุงเลือด

4. กล้วย

ด้วยคุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วยช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี

5. แตงโม

จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐเผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารในตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายและภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

ไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิตเลือดได้อย่างเป็นปกติ แต่ยังมีวิธีที่ง่ายๆ อีกสองสิ่งคือ การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวันซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวันเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้แล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลสมุนไพรไทยจาก สุขกายสบายใจ ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต


http://www.n3k.in.th/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94

การส่งดอกไม้วันวาเลนไทน์

วันนักบุญวาเลนไทน์ (อังกฤษ: Saint Valentine’s Day) หรือที่เป็นที่รู้จักว่า วันวาเลนไทน์ (Valentine’s Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของพวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ ซึ่งโดยมากจะไม่ระบุชื่อ
ประวัติ
วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโนซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด


ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่งกรุงโรม พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีใจคอดุร้ายและทรงนิยมการทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็นความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine”



การส่งดอกไม้วันวาเลนไทน์
มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วดอกไม้ยังใช้สื่อความรักได้หลายรูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย

  • กุหลาบแดง (Red Rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า “ฉันรักเธอ”
  • กุหลาบขาว (White Rose) : กุหลาบขาวแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์
  • กุหลาบชมพู (Pink Rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน
  • กุหลาบเหลือง (Yellow Rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส แทนความรักแบบเพื่อน
โดยในการมอบดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์นั้นเชื่อกันว่า จำนวนดอกกุหลาบที่มอบแก่กันนั้น มีความหมายต่อความรักกันอีกด้วย โดยได้แก่
  • 1 ดอก หมายถึง ความรักแบบ รับแรกพบ
  • 2 ดอก หมายถึงการแสดงความยินดี
  • 3 ดอก แทนคำบอกรักว่า ฉันรักเธอ
  • 7 ดอก แทนคำพูดที่ว่า เธอทำให้ฉันหลงเสน่ห์
  • 9 ดอก แทนความหมายที่ว่า ทั้งสองคนจะรักกันตลอดไป
  • 10 ดอก แทนความหมายว่า เธอเป็นคนที่ดีเลิศที่สุด
  • 11 ดอก แทนความหมายว่า การเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของฉัน
  • 12 ดอก แทนความหมายว่า การขอให้เธอเป็นคู่ฉัน
  • 13 ดอก แทนความหมายว่า ความเป็นเพื่อนแท้เสมอ (ซึ่งอีกนัยหนึ่งคือ การบอกปฏิเสธด้วยความรักอย่างเพื่อน)
  • 15 ดอก แทนความหมายว่า แทนความรู้สึกเสียใจจริง
  • 20 ดอก แทนความหมายว่า ความจริงใจต่อกัน
  • 21 ดอก แทนความหมายว่า ถึงการมอบชีวิตอุทิศให้
  • 36 ดอก แทนความหมายว่า ความทรงจำที่แสนหวานที่ยังมีต่อกัน
  • 40 ดอก แทนความหมายว่า ยืนยันว่าความรักเป็นรักแท้
  • 99 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันรักเธอจนวันตาย
  • 100 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
  • 101 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
  • 108 ดอก แทนความหมายถึงการขอแต่งงานแบบอ้อมๆ ที่ผู้ให้ไม่กล้าพูด
  • 999 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอจนวินาทีสุดท้าย
  • 1,000 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอจนวันตาย
  • 9,999 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอชั่วนิรันดร



วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส 
(Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้องหลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะเป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคงแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความกล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือกหญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้




ยานอนหลับจากต้นขี้เหล็ก

ยานอนหลับจากต้นขี้เหล็ก



ปัญหานอนไม่หลับนั้นเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยมาก และเป็นปัญหาการนอนที่พบได้มากที่สุด การแก้ไขปัญหานอนไม่หลับนี้ ที่จริงแล้วการแก้ปัญหานอนไม่หลับด้วยวิธีการไม่ใช้ยานั้นจัดว่าเป็นข้อแนะนำแรก ๆ ที่ควรทำและทั้ง ๆที่ประสิทธิภาพของการบำบัดแบบไม่ใช้ยานั้นได้รับการศึกษาอย่างมาก และยืนยันว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาโรคนอนไม่หลับ แพทย์ส่วนใหญ่มักเน้นการใช้ยานอนหลับโดยเฉพาะยาในกลุ่มเบนโซไดอะเซปีนส์ทั้ง แต่อาจด้วยความเคยชินรวมทั้งอิทธิพลจากบริษัทยาที่ทำให้การแก้ไขปัญหานอนไม่หลับด้วยการใช้ยานั้นจะเป็นสิ่งที่ถูกใช้เป็นอันดับแรก ๆ
ทางการแพทย์แผนไทย และคนสมัยโบราณรู้จักกันดีถึงวิธีแก้อาการนอนไม่หลับโดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับที่ทำจากสารเคมี ทางเลือกใหม่ในยุคเศรษฐกิจขณะนี้ ขี้เหล็ก เป็นสมุนไพรที่สามารถช่วยให้ท่าน ใช้แทนยานอนหลับได้ ขี้เหล็กเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 8-15 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มแคบทึบสีเขียวเข้ม เรารู้จักกันมานานแล้วมีชื่อต่าง ๆ กันตามท้องถิ่น เช่น
  • ขี้เหล็กบ้าน ขี้เหล็กหลวง (เหนือ)
  • ขี้เหล็กเผือก (เชียงใหม่)
  • ขี้เหล็กใหญ่ (ภาคกลาง)
  • ยะหา (ปัตตานี)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Cassia Siamea Britt
ส่วนที่นำมาใช้ ใบอ่อนและดอก ช่วงที่เก็บเป็นยาช่วงเวลาที่มีใบอ่อน และดอก รสและสรรพคุณ ดอกตูมและใบอ่อน มีรสขม ช่วยระบายท้อง ทำให้นอนหลับ และเจริญอาหาร
ได้มีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่า สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ของใบขี้เหล็ก มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ทำให้สัตว์ทดลองมีอาการซึม เคลื่อนไหวช้าชอบซุกตัว แต่ไม่หลับ และศึกษาโดยใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการกระวนกระวาย นอนไม่หลับ พบว่าสารสกัดใบขี้เหล็กด้วยแอลกอฮอล์ มีฤทธิ์สงบประสาทได้ดี ช่วยให้นอนหลับ และระงับอาการตื่นเต้นทางประสาทได้ แต่ไม่ใช่ยานอนหลับโดยตรง และไม่พบอาการเป็นพิษ มีความปลอดภัยในการใช้สูง
ถ้าเราจะเตรียมใช้เองเมื่อเกิดอาการนอนไม่หลับ มีความรู้สึกกังวล เบื่ออาหาร ให้ใช้ใบขี้เหล็กแห้งหนัก 30 กรัม หรือใบสดหนัก 50 กรัม ต้มเอาน้ำรับประทานก่อนนอน หรือใช้ใบอ่อนทำเป็นยาดองเหล้า (ใส่เหล้าขาวพอท่วมยา แช่ไว้ 7 วัน ต้องคนทุกวัน ให้น้ำยาสม่ำเสมอ กรองกากออก จะได้ยาดองเหล้าขี้เหล็ก) ดื่มครั้งละ 1-2 ช้อนชาก่อนนอนจะช่วยให้ท่านอนหลับสบายโดยไม่ต้องพึ่งยาจากการสังเคราะห์  การใช้ยาที่ช่วยให้นอนหลับที่ทำจากสารสังเคราะห์ ซึ่งอาจทำให้เราเกิดการติดยาได้ หันมาใช้สมุนไพรเพื่อช่วยชาติของเรากันดีกว่า